nowhere-land

Sunday, October 14, 2007

เปิบข้าว

เปิบข้าว
จิตร ภูมิศักดิ์

เปิบข้าว ทุกคราวคำ
สูจงจำ เป็นอาจิณ
เหงื่อกู ที่สูกิน
จึงก่อเกิด มาเป็นคน.

ข้าวนี้ นะมีรส
ให้ชนชิม ทุกชั้นชน
เบิ้องหลัง สิทุกข์ทน
และขมขื่น จนเขียวคาว.

.จากแรง มาเป็นรวง
ระยะทาง นั้นเหยียดยาว
จากรวง เป็นเม็ดพราว
ล้วนทุกข์ยาก ลำบากเข็ญ.

.เหงื่อหยด สักกี่หยาด
ทุกหยดหยาด ล้วนยากเย็น
ปูดโปน กี่เส้นเอ็น
จึงแปรรวง มาเป็นกิน.

.น้ำเหงื่อ ที่เรื่อแดง
และน้ำแรง ที่หลั่งริน
สายเลือด กูทั้งสิ้น
ที่สูซด กำซาบฟัน

นกสีเหลือง

นกสีเหลือง
วินัย อุกฤษฎ์

กางปีก หลีกบิน จากเมือง.
เจ้านก สีเหลือง จากไป.
เจ้าบิน ไปสู่ เสรี.
บัดนี้ เจ้าชี วาวาย

เจ้าเหิน ไปสู่ ดวงดาว.
เมฆขาว ถามเจ้า คือใคร.
อาบปีก ด้วยแสง ตะวัน.
เจ้าฝัน ถึงโลก สีใด

..จงบิน ไปเถิด คนกล้า
ความฝัน สูงค่า กว่าใด
เจ้าบิน ไปจาก รวงรัง
ข้างหลัง เขายัง อาลัย.

เจ้าบิน ไปสู่ เสรี.
บัดนี้ เจ้าชีวาวาย

จากภูพานถึงลานโพธิ์

จากภูพานถึงลานโพธิ์

ดินสอโดม ธรรมศาสตร์ เด่นสู้ศึก
ได้จารึก หนี้เลือด อันเดือดดับ
หกตุลา เพื่อนเรา ล่วงลับ
มันแค้นคับ เดือดระอุ อกคุไฟ

เรามีเพียง มือเปล่า มันล้อมปราบ
ระเบิดบาป กระสุนบ้า มาสาดใส่
เสียงเหมือนแตร งานศพ ซบสิ้นใจ
สนามหญ้า คลุ้งกลิ่นไอ คาวเลือดคน

มันตามจับ ตามฆ่า ล่าถึงบ้าน
อ้างหลักฐานจับเข้าคุก ทุกแห่งหน
เราอดทน ถึงที่สุด ก็สุดทน
จึงเปลี่ยนหนทางสู้ ขึ้นภูพาน

อ้อมอกภูพานคือ ชีวิตใหม่
คือมหาวิทยาลัย คนกล้าหาญ
จะโค่นล้มไล่เฉดเผด็จการ
อันธพาล อเมริกา อย่าหวังครอง

สู้กับปืนต้องมีปืนยืนกระหน่ำ
พรรคชี้นำตะวันแดงสาดแสงส่อง
จรยุทธ์นำประชาสู่ฟ้าทอง
กรรมาชีพ ลั่นกลอง อย่างเกรียงไกร

ในวันนี้ลานโพธิ์ธรรมศาสตร์อาจเงียบหงอย
ก็เพียงช่วง รอคอย สู่วันใหม่
วันกองทัพ ประชาชน ประกาศชัย
จะกลับไป กรีดเลือดพาล ล้างลานโพธิ์

มหกรรมของสัตว์เมือง

มหกรรมของสัตว์เมือง

ในมุมหนึ่งของโลกที่โศกนี้
ยังคงมีความสุขสนุกแสน
สร้างมาจากความยากลำบากแค้น
ของคนแคลนสิ้นไร้ไปทั้งนั้น

ณ มุมนี้มีตางานการเริงรื่น
คนแช่มชื่นอิ่มอาบดังภาพฝัน
มีอาหารสูงค่ามาเลี้ยงกัน
สารพันหลากหลายมากมายจริง

เขาแต่งตัวสวยสะงามระยับ
ทุ่มเททรัพย์ที่ใช้จ่ายง่ายดายยิ่ง
เตรียมอาหารล้นเหลือไว้เผื่อทิ้ง
วางท่าหยิ่งใส่กันชั้นเชิงนัก

ครั้นกินเหล้าเข้าไปได้ที่หน่อย
ก็ค่อยๆ เผยนิสัยให้รู้จัก
ต่างคนเอ็ดโวยวายเที่ยวทายทัก
อวดยศศักดิ์เงินตราว้าวุ่นไป

แต่หลายมุมของโลกที่โศกนั้น
คนนับพันนับหมื่นสะอื้นไห้
ด้วยเขาแสนอัตคัดทุกปัจจัย
ทั้งยากไร้คนซึ่งจะพึ่งพา

เสียงไชโยโห่ร้องลำพองคึก
ชวนให้นึกภาพชัดถึงสัตว์ป่า
ยามที่ออกล่าเหยื่อได้เนื้อมา
พวกมันหามีใจเผื่อใครเลย

Saturday, October 13, 2007

70 ปี ธรรมศาสตร์

เหลืองของเธอหรือคือธรรมประจำจิต
แดงของเราหรือโลหิตอุทิศให้
ฉันหรือรักธรรมศาสตร์แทบขาดใจ
ธรรมศาสตร์สอนห้องไหนให้รักชน

ยูงต้นแรกแตกรากจากความหวัง
เป็นร่มบังใบหญ้าจากฟ้าฝน
กงล้อธรรมนำทางอย่างสู้ทน
ทับถ่อยเถื่อนเลื่อนหล่นไกลหนทาง

จากวันแล้ววันเล่าไม่เปล่าสิ้น
เสรีรินจากเลือดจนเหือดร่าง
หากวันแล้ววันเล่ายิ่งเบาบาง
เจ็ดสิบปีมีหรือต่างสักเจ็ดวัน

แด่วิญญาณเสรีที่ลาล่วง
โดยดวงใจทุกดวงกระชับมั่น
โดมดินสอจารจ่อข้อผูกพัน
ถึงวานวันเคยเลื่องว่าเหลืองแดง

หากยูงทองยองใยกับใบหญ้า
ร่วมยืนฟ้ายันฝนสู้ทนแสง
ดอกสีสดหรือหมดค่าเมื่อราแรง
เมื่อหล่นเลี้ยงดินแห้งทั่วถิ่นไทย

เหลืองของเธอถ้าคือธรรมประจำจิต
แดงของเราหากโลหิตอุทิศให้
เราย่อมรักธรรมศาสตร์สะอาดใจ
สิ้นสงสัยศาสตร์แห่งธรรมที่นำชน

แดนแห่งความฝัน

ที่แห่งนี้ไม่ใช่แดนแห่งความฝัน
"มหัศจรรย์" หรือจะเกิดจากเม็ดหิน
"เสรีภาพ" หรือจะฝังอยู่ในดิน
ไม่ใช่ถิ่นที่ทุกที่มีเวทย์มนต์

เป็นแค่ตึกใหญ่โตและโอ่อ่า
เติมคุณค่าประวัติศาสตร์อันสับสน
คนภายนอกเรียกที่นี่ "เสรีชน"
แต่กี่คนที่รู้ค่าที่ว่านั้น

ที่แห่งนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้
มันขึ้นอยู่ใครไขว่คว้าค้นหาฝัน
จะครึกครื้นเงียบสงัดอัศจรรย์
เพียงเธอนั้นไขว่คว้ามายลยิน

ที่แห่งนี้ไม่ใช่แดนแห่งความฝัน
"มหัศจรรย์" หรือจะเกิดจากเม็ดหิน
"เสรีภาพ" หรือจะฝังอยู่ในดิน
ทั้งหมดสิ้นสร้างด้วยมนต์แห่งมือเธอ

ฝนเดือนพฤษภา

ฝนแรก เดือนพฤษภา
รินสายมา เป็นสีแดง
ฝนเหล็ก อันรุนแรง
ทะลวงร่าง เลือดพร่างพราว

หลั่งนอง ท้องถนน
เป็นสายชล อันขื่นคาว
แหลกร่วง กี่ดวงดาว
และแหลกร้าว กี่ดวงใจ

บาดแผล ของแผ่นดิน
มิรู้สิ้น เมื่อวันใด
อำนาจ ทมิฬใคร
ทมึนฆ่า ประชาชน

เลือดสู้ จะสืบสาย
ความตาย จะปลุกคน
วิญญาณ จะทานทน
พิทักษ์เทอด...ประชาธรรม

ฝนแรก แทรกดินหาย
ฝากความหมาย ความทรงจำ
ฝากดิน ให้ชุ่มดำ
เลี้ยงพืชกล้า ประชาธิปไตย

..จิระนันท์ พิตรปรีชา..

นักศึกษา...ธรรมศาสตร์

เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤๅจึงมุ่งมาศึกษา
เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤๅ
แท้ควรสหายคิด จงตั้งจิตมั่นยึดถือ
รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน

...

โอ้...อันว่าถ้าเธอทำตามใจชอบ
ไร้ซึ่งกรอบไร้ซึ่งกฎหมดความหมาย
ใครจะเป็นอย่างไรบ้างไม่สนใจ
แล้วจะยืนอย่างไรในสังคม

...

มหา ชนหลั่งไหลฝ่ศึกษา
วิทยาลัย แห่งนี้มีความหลัง
วิชา การก่อปัญญาพ้นภวังค์
ธรรม เปรียบดั่งแสงไฟชี้ทางตน
ศาสตร์ ฤๅศิลป์ศึกษาไว้ด้วยชีวิต
และ อุทิศเพื่อประชาทุกแห่งหน
การ ศึกษามิสอนให้เป็นนายคน
เมือง นี้ชนทุกชั้นนั้นเท่าเทียม

...

ฤๅธรรมศาสตร์ จะสิ้นความ เป็นธรรมศาสตร์
ฤๅจะลืม ทวยราษฎร์ ผู้หมองหม่น
ใจที่เคย ท้าทาย ทุรชน
ฤๅจะยอม จำนน ต่อตนเอง

...

โดมพี่อยู่ท่าพระจันทร์สร้างบัณฑิต
โดมน้องสืบสายโลหิตรังสิตนั่น
ถึงจะอยู่แห่งไหนไม่สำคัญ
จงตั้งมั่นบนนิยามแห่งความดี

...

ปรีดี พนมยงค์ : คนดีที่เมืองไทยไม่ต้องการ

ต้องรอนับร้อยวัน เป็นพันปี
จึงจักมีสักคนคนที่กล้า
กล้าหมุนผลักจักรวาล กาลเวลา
คืนสู่ความธรรมดาสู่สามัญ

เป็นเปลวเทียน สุดท้ายละลายแท่ง
เพื่อเปล่งแสงส่องทางอย่างเฉิดฉัน
มีเพียงหนึ่งล้ำค่า กว่าหมื่นพัน
อยู่เพียงวันคงค่ากว่าหมื่นปี

เจ้าหรือ?

เจ้าหรือ คือผู้แทน...??
ชูแขน เชิดหน้า หาเสียง
ประกาศ ต่อสู้ คู่เคียง
ปกป้อง สิทธิ์เสียง ประชาชน

เจ้าหรือ คือผู้แทน...??
หดมือ หดแขน หดเหตุผล
หายหัว หายหน้า มิกล้าชน
จำนน อธรรม ระยำจริง

เจ้าหรือ คือผู้แทน...??
ปล่อยเขา ดูแคลน ทุกสิ่ง
อำนาจ มวลชน ถูกปล้นชิง
ยืนนิ่ง ตาปริบ...ฉิบหายกัน!!

เจ้าหรือ คือผู้แทน...??
วางแผน สอพลอ กระสัน
เจ้าทำ อะไร เป็นชิ้นอัน
นอกเหนือ แย่งกัน เป็นใหญ่คน

เจ้าหรือ คือผู้แทน...??
งอมือ งอแขน สับสน
ไยไม่ ฟังเสียง ประชาชน
กู่ก้อง อึงอล ประเทศไทย

เจ้าใช่ไหม...ผู้แทน??
คลั่งแค้น มากแล้ว รู้ไหม
เจ้าใช้ สิทธิ์เสียง ได้ไป
เพื่อใคร? ประชาชน หรือตนเอง?
(ผู้ตาย 1998 หนองบัวแดง : พฤษภาคม 2535)


เจ้าหรือ...นักศึกษา??
ผู้กล้า ผู้เป็น ปากเสียง
เคยร่วม ต่อสู้ คู่เคียง
ปกป้อง สิทธิ์เสียง ประชาชน

เจ้าหรือ...นักศึกษา??
กลับกลาย หายหน้า หาเหตุผล
เลียตีน กราบกราน สามานย์ชน
จำนน อธรรม ระยำจริง

เจ้าหรือ...นักศึกษา??
ปล่อยเขา ก่นด่า ทุกสิ่ง
อำนาจ มวลชน ถูกปล้นชิง
ยืนนิ่ง ตาปริบ ฉิบหายกัน

เจ้าหรือ...นักศึกษา??
หวังเพียง ปริญญา น่าขัน
เจ้าทำ อะไร เป็นชิ้นอัน
นอกเหนือ แข่งขัน เพื่อดันตน

เจ้าหรือ...นักศึกษา??
อับอาย ขายหน้า พาสับสน
ไยไม่ ฟังเสียง ประชาชน
กู่ก้อง อึงอล ประเทศไทย

เจ้าใช่ไหม...นักศึกษา??
ภาษี ปวงประชา จ่ายให้
เจ้ามา ร่ำเรียน ทำไม?
เพื่อใคร? ประชาชน หรือ..ตนเอง??

เพื่อชาติ?

เพื่อชาติ?

เหยียดกาย หงายลง ตรงร่มพฤกษ์
ในห้วงนึก คำนึง ถึงความหลัง
เมื่อครั้ง จำลาพราก จากรวงรัง
ด้วยมุ่งหวัง ตั้งจิต ปณิธาน

หวังได้เป็น แนวหน้า ผู้กล้าศึก
เหิมฮึก กึกก้องกาจ อย่างอาจหาญ
สวมเครื่องแบบ จับปืนเสี่ยง เยี่ยงชายชาญ
จะรอนราน ผู้รุกล้ำ อธิปไตย

จะปกป้อง แผ่นดิน ถิ่นกำเนิด
อุดมการณ์ หรูเลิศ สุกสดใส
จะปกป้อง คุ้มครอง ประชาไทย
คือหัวใจ ทหารกล้า กล้าผจญ

แล้วที่ข้า ทำได้ ในวันนี้
ยุทธวิธี ที่ผ่าน การฝึกฝน
ใช้เป็นฐาน อำนาจใหญ่ ให้นายพล
เสรีภาพ ประชาชน คือศัตรู

เป็นชายชาติ ชายชาญ ทหารกล้า
หรือขี้ข้า ผู้มักใหญ่ ให้อดสู
ทำเพื่อชาติ หรืออำนาจ ของนายกู
หน้าที่ขู่ นักศึกษา ประชาชน

สุดภูมิใจ ในหน้าที่ ของชายชาติ
เชลียร์บาท คุ้มกันนาย ให้ฉ้อฉล
คอยรอนลิด สิทธิ์เสรี ของปวงชน
จี้และปล้น อำนาจชน ไว้ให้นาย

ขอขอบคุณ ประชาชน ทุกคนครับ
ขอบคุณครับ ในภาษี ที่ท่านจ่าย
ด้วยอาวุธ จากหยาดเหงื่อ และแรงกาย
ส่งเสริมนาย ผมให้ใหญ่ ในแผ่นดิน

จ่าเจียม เรดาร์แมน พฤษภาคม 2535
(...ด้วยความภาคภูมิใจของชายชาติทหาร...)

เยาวชน

เยาวชน

ไม่มีแล้วพลังใดในโลกหล้า
จะหาญกล้าท้าแกร่งแห่งหนุ่มสาว
ไม่มีแล้วแสงใดในแสงดาว
จะสกาวเท่าแสงแห่งเยาวชน

เปรียบเป็นแดดเธอคือแดดที่แผดกล้า
ส่องทายท้าทุรยุคไปทุกหน
เปรียบเป็นฟ้าคือฟ้าใหม่ไม่มืดมน
ที่ผู้คนคอยท่าทุกนาที

เยาว์ที่รัก
ขอเธอจงตระหนักในศักดิ์ศรี
สังคมไทยไร้สุขทุกข์ทวี
รอเธออยู่เป็นผู้ที่ชี้ทิศทาง

เธอต้องกล้าก้าวไปในเบื้องหน้า
เธอต้องกล้าฟันฝ่ากล้าสรรค์สร้าง
จงชูธรรมนำใจไม่รู้จาง
จงอยู่อย่างสมคุณค่าราคาคน

ถ้าเป็นเมฆจงเป็นเมฆที่เสกสร้าง
พร้อมโรยร่างพร่างพรายเป็นสายฝน
รินหยาดน้ำฉ่ำใจให้คนจน
ผู้ทุกข์ทนมีน้ำไว้ทำนา

ถ้าเป็นทรายจงเป็นทรายพร้อมรายร่าง
เพื่อถมทางสร้างไทยให้ก้าวหน้า
เป็นเส้นทางย่างเท้าแห่งชาวประชา
เพื่อโลกหล้าหม่นไหม้ได้เปลี่ยนแปลง

ถ้าเป็นเทียนจงเป็นเทียนที่เวียนทั่ว
พร้อมหลอมตัวตนเองเพื่อเปล่งแสง
เพื่อชี้ทางสว่างชัดจรัสแรง
ทุกหนแห่งให้ประชาทั้งสากล

มาเถิดเหล่าเยาวชนคนหนุ่มสาว
จงกล้าก้าวอย่างกล้าแกร่งทุกแห่งหน
ใช้พลังยิ่งใหญ่ในตัวตน
เพื่อผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดิน

กูเป็นนิสิตนักศึกษา

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
สุจิตต์ วงษ์เทศ (ม.ค. 2512)

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
วาสนาสูงส่งสโมสร
ย่ำค่ำนี่จะย่ำไปงานบอลล์
เสพเสน่ห์เกสรสุมาลี

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
พริ้งสง่างามผงาดเพียงราชสีห์
มันสมองของสยามธานี
ค่ำนี้กูจะนาบให้หนำใจ

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เจ้าขี้ข้ารู้จักกูหรือไม่
หัวเข็มขัดกลัดกระดุมปุ่มเน็คไท
หลีกไปหลีกไปอย่ากีดทาง

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
มหาวิทยาลัยอันกว้างขวาง
ศึกษาสรรพรสมิเว้นวาง
เมืองกว้างช้างหลายสบายดี

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เดินเหินดูสง่ามีราศี
ย่ำค่ำกูจะย่ำทั้งราตรี
กรุงศรีอยุธยามาราธอน

เฮ้ย กูเป็นนิสิตนักศึกษา
มีสติปัญญาเยี่ยมสิงขร
ให้พระอินทร์เอาพระขรรค์มาบั่นรอน
อเมริกามาสอนกูเชี่ยวชาญ

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
หรูหราแหลมหลักอัครฐาน
พรุ่งนี้ก็ต้องไปร่วมงาน
สังสรรค์ในระดับปริญญา

ได้โปรดฟังกูเถิดสักนิด
กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เงียบโว้ย-ฟังกู--ปรัชญา
กูอยู่มหาวิทยาลัย...

...กูอยู่มหาวิทยาลัย
รู้ไหม เห็นไหม ดีไหม
อีกไม่นานเราก็ต่างจะตายไป
กอบโกยใส่ตัวเองเสียก่อนเอย

เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน

เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน
วิทยากร เชียงกูล

ดอกหางนกยูงสีแดงฉาน
บานอยู่เต็มฟากสวรรค์
คนเดินผ่านไปมากัน
เขาดั้นด้นหาสิ่งใด

ปัญญามีขายที่นี่หรือ
จะแย่งซื้อได้ที่ไหน
อย่างที่โก้หรูหราราคาเท่าใด
จะให้พ่อขายนามาแลกเอา

ฉันมาฉันเห็นฉันแพ้
ยินแต่เสียงด่าว่าโง่เขลา
เพลงที่นี่ไม่หวานเหมือนบ้านเรา
ใครไม่เข้าถึงพอเขาเยาะเย้ย

นี่จะให้อะไรกันบ้างไหม
มหาวิทยาลัยใหญ่โตเหวย
แม้นท่านมิอาจให้อะไรเลย
วานนิ่งเฉยอย่าบ่นอย่าโวยวาย

ฉันเยาว์ฉันเขลาฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
แต่สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

มืดจริงหนอสถาบันอันกว้างขวาง
ปล่อยฉันอ้างว้างขับเคี่ยว
เดินหาซื้อปัญญาจนหน้าเซียว
เทียวมาเทียวไปไม่รู้วัน

ลำนำธรรมศาสตร์

ลำนำธรรมศาสตร์

ธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ฤๅจะขาด วิญญาณ จนหมดสิ้น
เจ้าพระยา ไหลหลบ แล้วซบดิน
ไม่ได้ยิน เสียงเรียก ประชาชน

นกเอย เคยบิน ยอดฟ้า
กรีดกลาง เวหา เป็นหน
กลับหลัง ลงซุก มือคน
เฝ้าทน ให้เขารั้ง มาขังกาย

ลืมสิ้น แล้วหรือ ประวัติศาสตร์
แม่โดม เคยผงาด สาดสาย
เมฆหมอก หุ้มกลบ ลบลาย
แลจะวาย วังเวง อาวรณ์

เหลืองมิใช่ คือธรรม ดั่งวันนั้น
แดงแปรผัน จากโลหิต ผิดคำสอน
ผ่านสายตา ผ่านสายใจ ไร้อาทร
ซากน้ำตา จากจร อย่างจงใจ

ปรากฏการณ์ ผ่านผัน วันที่ห่าง
ตกหล่นไว้ กลางทาง หว่างสมัย
เพื่อชาติ และราษฎรไทย
ฝากไว้ ฝากไว้ ให้ใครยล

นกเจ้า จงบิน ยอดฟ้า
กรีดกลาง เวหา อีกหน
สืบสาน ปณิธาน ประชาชน
ทุกแห่งหน จักประศาสน์ ประกาศธรรม

เธอเป็นลูกแม่หรือไม่

เธอเป็นลูกแม่หรือไม่
โดย...เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

เธอเคยได้ยินใช่ไหม
ในทุกที่ทั่วทั่วไปและในหลายหลายหน
เขามักเรียกนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน
เคยรู้สึกสับสน สงสัย หรือไม่เคย

ทำไมต้อง "นักศึกษา" และ "ประชาชน"
นักศึกษาไม่ใช่คน หรือ เขาจึงเอ่ย
จำแนกแยกไว้ต่างหากจากคำอภิเปรย
จนเธอรู้สึกเฉยเฉยเป็นธรรมดา

แท้ที่จริงคำเหล่านี้มีความหมาย
มิใช่คำกล่าวง่ายง่ายไร้คุณค่า
เป็นคำเตือนให้ตระหนักในศักดิ์ฐานา
ว่านักเรียน นิสิต นักศึกษา ห่าใช่ "ประชาชน"

ประชาชนนั้นคือชนคนทำคนสร้าง
ผู้ลงแรงหักล้างและตั้งต้น
ทำแต่งานเท่านั้นที่บันดล
มือของคนผลักโลกเคลื่อนคือมือนี้

มือที่จับจอบจับไถมือไสกบ
มือที่เชิดชูพิภพให้มีค่ามีศักดิ์ศรี
ดินเป็นนา ป่าเป็นเมือง รุ่งเรืองทวี
คือมือของคนที่เรียกว่าประชาชน

เธอนักเรียนนิสิตนัศึกษา
คือผู้เรียนวิชา เรียนปัญญา เรียนเหตุผล
ก่อนที่ก้าวย่างไปตามทางแต่ละคน
สู่ความเป็นประชาชนอย่างเต็มตัว

ฐานะเธอจึงเป็นเช่นลูกน้อย
ประชาชนคือแม่ผู้คอยอยู่คุ้มหัว
โลกนี้สังคมนี้คือครอบครัว
วางหน้าที่ไว้ทั่วทั่วตามเท็จจริง

นักเรียนนิสิตนักศึกษาจึงมีอภิสิทธิ์
ที่ประชาชนได้อุทิศเป็นที่ยิ่ง
เธอคือลูกหลานประชาอย่าทอดทิ้ง
ต้องตระหนักในสิ่งนี้มีสำนึก

จงศึกษาเพื่อไปเป็นประชาชน
ไปตอบแทนบุญคุณล้นพ้นรู้สึก
อย่าเหินห่างวางท่าโอฬารพันลึก
และทึกทึกอยู่เหนือกว่าประชาชน

เช่นนั้นเธอคือคนผู้มีอภิสิทธิ์
มีชีวิตเหนือใครใครไปทุกหน
คนเช่นนี้ไม่ควรค่าคำว่าคน
เพราะเขาปล้นปวงประชาอย่างน่าละอาย

บัณฑิต...
เพียงเธอจะหยุดคิดถึงความหมาย
ก่อนจะถอดเสื้อครุยอันกรุยกราย
ทางข้างหน้าท้าทายและคอยเธอ

เธอจะเป็นอภิสิทธิ์ชน หรือ ประชาชน
มีหนทางอยู่สองหนให้เลือกเสมอ
ถ้าเธฮอลือกถูกก็เป็นลูกที่เลิศเลอ
น้ำตาแม่ก็จะเอ่อด้วยอิ่มใจฯ

เมื่อความเลวความร้ายกลายเป็นถูก
แลเมื่อลูกลูกของแม่ถูกเหยียดหยาม
ในท่ามกลางเสียงตะโกนก่อนประณาม
มีแวววามอันคมวันเจิดจับตา

แม่มองเห็นความกล้าที่ปรากฏ
ความแข็งแกร่งความทรหดแห่งหินผา
มือที่สัมผัสกับมือแม่เสมอมา
คือความกล้าของลูกทุกทุกคน!